วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รวมภาพ ศิลปวิมานบ้านดิน พัทลุง


( บน ) ภาพบ้านดินที่มองจากด้านหน้า เป็นทรงกลม หลังคามุงกระเบื้องดินเผาทรงแปดเหลี่ยม

อีกมุมที่หลายคนชอบนัก เป็นมินิบาร์ เหมาะสำหรับนั่งคุยกัน 3- 4 คน พร้อมเครื่องดื่มที่คุณชอบ

ครัวโหระพา

ครัวโหระพา เป็นครัวที่ตั้วใจแยกออกมาจากตัวบ้านดิน ซึ่งจะทำให้ท่านผู้ที่มาเยี่ยมนั้นมีความสะดวกในการปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู เพราะที่นี่เราจะมีบริการเตาแก๊ส และหุงต้มด้วยไม้ฟืนซึ่งการหุงต้มด้วยไม้ฟืนนั้นจะให้รสชาดอาหารที่หอม อร่อย มีกาต้มน้ำขนาดใหญ่ไว้บริการตลอดใครตื่นนอนก่อนก็ก่อฟืน ต้มน้ำ ไว้ก่อน และเมนูอาหารพื้นบ้านอร่อย ๆ ฉบับปักษ์ใต้บ้านเราก็เริ่มต้นความอร่อยจากตรงนี้นี่เอง
 " ครัวโหระพา "

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

                                                               บทส่งท้าย

ถึง...นกทุกตัวบนท้องฟ้า

 ถามเจ้านกน้อย  เจ้าจักมีปีกไว้เพื่ออะไร  ถ้ามิใช่มีไว้เพื่อโบยบิน    ยามเจ้าเดินทาง
 ถามเจ้านกน้อย  เจ้าจักมีปีกไว้เพื่ออะไร  ถ้ามิใช่มีไว้เพื่อโอบคลุม   ยามเจ้าเหน็บหนาว
 ถามเจ้านกน้อย  เจ้าจักมีปีกไว้เพื่ออะไร  ถ้ามิใช่มีไว้เพื่อซุกหัวนอน  ยามเจ้าเหนื่อยล้า
 บอกเจ้านกน้อย ฟ้านั้นกว้าง ทางนั้นไกล เกินกว่าปีกเจ้าจะบินไปถึงสุดขอบฟ้า
ฉันเข้าใจดีว่า การโบยบิน เป็นความรื่นรมย์ในชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้
แต่ฉันก็พบว่า ความสุขที่แท้จริง มิใช่การบิน       
ตรงกันข้าม ความสุขที่แท้จริง คือการหยุดโบยยิน แล้วลดปีกร่อนถลาลงสู่รังรัก
เพราะที่นั่นคือที่ที่เจ้าควรอยู่ที่สุด
 เพราะบ้านคือ...ที่ที่อบอุ่นและปลอดภัย 
 เพราะบ้านคือ...ที่พักของหัวใจ
เพราะถ้าเจ้าไม่พัก หรือไม่มีที่พัก เจ้าจะไม่มีวันพบกับ...ความสงบ
9. ในสายตาของเพื่อนบ้าน

            อย่างที่ผมพูดถึงก่อนหน้านี้แล้วว่า ในสายตาของเพื่อนบ้าน ที่เหลือบมองด้วยสายตาที่แปลก ๆ วันเวลาผ่านไป วันต่อวันหลายคำถามที่ค้างคาใจเขาอยู่ได้เฉลยเผยความกระจ่างขึ้นทุกวัน  หลังจากที่เราเสร็จสิ้นภารกิจอัดบล็อกดิน  เราก็ย้ายอิฐดินเข้าไปในสวนในที่ที่จะสร้างบ้านดิน  ที่นั่นเองไม่ค่อยมีผู้คนผ่านสัญจรมากนัก มีเพียงแต่ลูกกุลีของพ่อเท่านั้นที่ต้องใช้เส้นทางเพื่อไปกรีดยางพารา  ซึ่งเรื่องราวความคืบหน้า เรื่องราวของบ้านดินได้แพร่กระจายออกมาสู่หมู่บ้าน  แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เห็นพัฒนาการของบ้านดิน จนเสร็จสมบูรณ์ เรื่องราวของบ้านดินจึงแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน  ได้ข่าวว่ามีหลายคนแอบแวะเข้าไปเยี่ยมชม
สวยดีนะ
แปลกดีนะ
สุดยอด
นึกว่าทำเล่น ๆ ธรรมดา ๆ         
แพงไหม  เป็นบ้านได้เลย
ถ้าได้อยู่ข้างนอก ติดถนน สุดยอดไปเลย
ไม่สิ...ช้างเผือกต้องอยู่ในป่า
ฯลฯ
            นั่นคือบางถ้อยคำของผู้ที่แวะไปเยี่ยมทั้งที่ตั้งใจและบังเอิญผ่านทาง  ผมเห็นแววตาของเขาเหล่านั้นเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมบวกกับความทึ่ง ๆ งง ๆ  
มันเป็นไปได้จริงแฮะ คนหนึ่งพูด
            จากเมื่อก่อนมีคำถามมากมาย  พอเห็นของจริงคำถามลดลงไปมากซึ่งเขาได้คำตอบด้วยตัวเขาเอง โดยที่เราไม่ต้องตอบหรือธิบายอะไรมาก และท้ายที่สุดเหลือเพียงบางคำถามเท่านั้น
อยู่ได้นานกี่ปี
โดนน้ำฝน นาน ๆ จะเป็นไรบ้าง
ไม่รู้ ผมตอบเขาสั้น ๆ
เพราะผมรู้ดีว่าต่อให้เราสาธยายคำตอบหรือบอกถึงความเชื่อมัน บอกถึงความศรัทธาที่มีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเพียงไร เขาเหล่านั้นก็คงไม่เชื่อผมหรอก...หรือว่าไม่จริง  เพราะผมเคยบอกตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวผมเอง เรื่องบ้านดินไม่เคยอยู่ในสมองเลย  ไม่เชื่อ  จนเมื่อลงไม้ลงมือทดลองทำ  เราจะสัมผัสแรงศรัทธานั้นได้จริง  อธิบายไม่ถูก ว่ามันเป็นอย่างไร แต่ทว่าเราสัมผัสมันแล้ว...ผมไม่ถือสาคำถามเขาเหล่านั้น  ผมไม่รังเกียจสายตาเขาเหล่านั้น  และผมก็ไม่ถือโกรธหัวใจดวงน้อยของใครต่อใคร ที่ไม่ยอมเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต  ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า บ้านดินหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งจะไม่นำมาซึ่งความล่มจม สิ้นเนื้อประดาตัว  ตรงกันข้ามหากบ้านดินหลังเล็ก ๆ ดังว่านั้นผ่านบทพิสูจน์ ผ่านการทดสอบ ตอบทุกคำถามโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ ผมถือว่าเป็นโอกาสทอง โอกาสหนึ่งในชีวิตซึ่งมีไม่มากนัก.. 
 

8. เปลี่ยนม้ากลางศึก
               
ขณะที่บ้านหยุดอยู่กับที่ ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ต่อไปได้นั้น ยิ่งอยู่ในสภาพที่มีความขัดแย้งทางความคิดสูง ผลที่ตามมานั่นคือ ท่าทีของอ๊อดและน๊อตที่สะสมมาก่อนหน้านี้ ทั้งสองไม่สามารถร่วมงานกันได้  ทั้ง ๆ ทีบางเรื่อง บางความคิดผ่านการถกกันอย่างมีเหตุมีผลและดูเหมือนว่าจะยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว แต่บรรยากาศในการทำงานไม่น่ารื่นรมย์เสียแล้ว  เข้าตำราเสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกันได้ ในการสงครามก็เช่นกัน ผู้นำทัพต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น  บ้านดินเราก็เช่นนั้นจำเป็นต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก  ต้องเอาม้าที่คึกคะนองกว่าย่อมดีกว่า  เราไม่ได้เร่งรีบอะไรและก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องหยุดอยู่เฉย ๆ โดยที่ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า
ผลที่ตามมาคือน๊อตมีอิสระในการทำงานมากขึ้น กล้าที่จะนำเสนอรูปแบบและวิธีการเข้าถึงได้อย่างมั่นใจกว่าเก่า  จึงผยอง ลำพองและโลดโผนโจนทะยานไปอย่างไม่ลดละ  เราพูดคุยกันว่าสิ่งที่ตัดสินใจร่วมกันในครั้งนั้นถูกต้องแล้ว เพราะเนื้องานมีกรอบข้อจำกัดในความยากง่าย และคนก็มีข้อจำกัดอยู่ภายในของแต่ละคน งานบางงานเหมาะกับคนบางคน  คนบางคนเหมาะที่จะใช้ศักยภาพของตัวเองในห้วงเวลาหนึ่ง  ไม่มีใครเหมาะกับทุกงาน และก็ไม่มีใครใช้ศักยภาพของตัวเองได้ทุกที่ทุกเวลาเช่นกัน  อ๊อดเป็นตัวอย่างหนึ่ง น๊อตก็พิสูจน์และยอมรับว่างานบางอย่าง เช่น  โครงหลังคาไม้ระแนงมุงหลังคาดินเผานั้นตนเองไม่ถนัด  ยอมหยุดพักและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของช่างในหมู่บ้านแทนอะไรประมาณนี้
บ้านแต่ละหลังจะมีหลายช่าง ทั้งช่างไม้ ช่างปูน ช่างสี และอีกหลาย ๆ ช่าง  มาทำงานรับช่วงกันไปเป็นจังหวะจะโคน แต่ละช่างจะมีฝีมือที่ต่างกันไป จึงออกมาเป็นบ้านหลังหนึ่งได้  การที่เราเปลี่ยนอ๊อดไปพักไม่ถือว่าไม่ให้เกียรติอะไรต่ออ๊อด  อ๊อดก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเสียฟอร์มอะไร  หากเข้าใจในสิ่งที่เราตัดสินใจไปในครั้งนั้น  การที่เรามาใช้ชีวิตร่วมกัน มีเป้าหมายอันเดียวกัน บ้านดินหลังนี้เสร็จจะเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของทุกคนที่มีส่วนร่วม  มันดูเหมือนเป็นคำพูดที่เว่อร์ เป็นนามธรรม เข้าข้างตัวเอง เพราะตัวเองได้บ้านดินมาหลังหนึ่งนี่  ด้วยความสัตย์หากบ้านดินหลังนี้เสร็จสมบูรณ์คุณงามความดีทั้งหมดทั้งมวลต้องมอบให้อ๊อด ตุ่น แมนและพ่อ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ริเริ่มขึ้นมา ผมกับมุกนั้นเป็นเพียงผู้เห็นดีเห็นงามทีหลังและให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น
7. ดินก้อนที่ร้าว                 
          ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีที่จะสื่อสารเพื่อบอกว่า ดินที่เรามานำย่ำจนเป็นเนื้อเดียวกันนั้น แล้วนำมาอัดเป็นบล็อก มีบางก้อนที่แตกร้าวเป็นตำหนิ เราก็จะแยกไว้อีกหนึ่งต่างหาก นำก้อนที่ดีนำไปก่อสร้างก่อน ส่วนดินก้อนที่ร้าวนั้นเกิดจากความผิดพลาดสองประการหลัก คือหนึ่งเกิดจากตัวเราเองที่นำมาอัดบล็อกไม่แน่นพอ หรือประการที่สองเกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือปัจจัยอื่น อาจจะโดนแดดจัดแห้งเร็วไปหน่อย ทั้งสองประการย่อมแก้ไขได้ง่ายดาย
          คนก็เช่นกัน ต่อให้มีอุดมการณ์เดียวกัน มีเป้าหมายที่ชัดเจนเหมือนกัน แต่ระหว่างการร่วมทางเดินนั้นย่อมมีการสะดุดแข้งสะดุดขากันบ้างเป็นธรรมดา ที่บ้านดินแห่งนี้ก็มีเช่นกันเมื่อพักหลังอ็อดเริ่มจะรื่นรมย์กับสุรามากไปหน่อย  งานเริ่มหยุดชะงัก งานไม่เดิน เพราะอ๊อดเป็นผู้นำ ในเมื่อผู้นำไม่ยอมนำ ผู้ตามอย่างแมนย่อมเดินไปไม่ถูก มีบางครั้งที่แมนพยายามที่เดินไปเอง แต่อ๊อดก็ติติงจนแมนไม่กล้าที่จะทำอะไรเพราะกลัวความผิดพลาด  จนงานหยุดสนิท อ๊อดยังคงหลับใหลอยู่ในขวดเหล้า แมนหันหลังให้อ๊อด  ไฟแห่งศรัทธาที่ลุกโชติช่วงอยู่ในตัวแมนเริ่มมอดลง ผม มุกและพ่อ เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจนรู้สึกอึดอัดเหมือนกัน มีความเห็นร่วมกันว่าจะประชุมทีมเพื่อหาข้อสรุปและวางแผนงานกันใหม่ นั่นหมายความว่าตุ่นต้องเป็นผู้หนึ่งในการประชุมทีมดังกล่าว 
          ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อ๊อดได้ชักชวนน๊อตซึ่งเป็นศิษย์รุ่นน้องของสำนักบ้านดินมาช่วยงาน เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอ๊อด จู่ ๆ อ๊อดก็หมดอารมณ์ไปเฉย ๆ ในเมื่อน๊อตเดินทางมาจากภาคอีสานเพื่อมาช่วยอ๊อดทำงานบ้านดิน เราไม่รู้ว่าทั้งสองตกลงหรือมาช่วยโดยมีเงื่อนไขอะไร ทันที่ที่น๊อตเดินทางถึงพัทลุง เราก็ได้คุยกันเรื่องของคอนเซปต์งาน นั่นคือ ไม่มีค่าตอบแทนอะไรทั้งสิ้น มีแต่เหล้ายาปลาปิ้ง ข้าวปลาอาหารให้อิ่มหนำสำราญ เมื่อศิษย์พี่ศิษย์น้องมาร่วมงานกันก็ได้แชร์พลัง ความคิดสร้างสรรค์กัน  และเริ่มเดินงานไปได้ระยะหนึ่งทั้งสองเริ่มมีความขัดแย้งทางความคิดกันมากขึ้น  ในความขัดแย้งนั้นผมไม่ซีเรียส ใครขายความคิดเรื่องอะไรมาบอกกัน ใครไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเจ้าของความคิดยืนยันว่าดี เป็นไปได้ เราก็จะปล่อยให้ทำไปตามความคิด ความเชื่อของเขา เราคอยดู ถ้ามันเป็นจริงประจักษ์ขึ้นมาอย่างที่เขาเคยขายความคิดนั้นไว้เราก็จะยอมรับ ถือเป็นความรู้ใหม่ เพราะบ้านดินหลังนี้เราเปิดโอกาสให้ทุกคนทดลองทำอะไรก็ได้ตามความเชื่อ ผิดก็แก้ไขไป ถูกถือเป็นความรู้ใหม่อย่างที่ว่า งานเดินไปอย่างช้า ๆ ทำไปคิดไป บรรยากาศในการทำงานต่างคนต่างอึดอัดมาก โดยเฉพาะเจ้าของบ้านอย่างผม ไม่ใช่เพราะว่าต้องการเห็นบ้านเสร็จเร็ว ๆ แต่เริ่มเห็นอะไรบางอย่างที่มันสะสมขึ้นทุกวัน ความขัดแย้งทางความคิดระหว่างอ๊อดกับน๊อตเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น อ๊อดในฐานะผู้เริ่มก่อการหมดไฟ หมดแรง  ไม่ยอมทำอะไร  น๊อตผู้มาใหม่ไฟแรงแซงความเป็นผู้นำ อ๊อดยิ่งถดถอย
        



 หลังการประชุมทีมทุกคนมีความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า
อ็อดมึงพักก่อน
งานดินปล่อยให้น๊อตมันสานต่อ
งานไม้ทุกอย่าง จ้างช่างในหมู่บ้านก็แล้วกัน เพราะเราไม่มีเครื่องมือและไม่ค่อยมีความชำนาญมากนัก
          อีกไม่กี่วันต่อมา ตุ่นมารับอ็อดกลับปาดังเบซาร์ เพื่อหลีกหนีจากเหล้าดอง เพราะน็อตก็ถือเป็นปิศาจสุราตัวหนึ่ง แล้วอ๊อดก็พักกายพักใจอยู่ที่ปาดังฯพักหนึ่ง อยู่กับเพื่อนฝูง ได้ข่าวว่าดีขึ้น เราตั้งใจว่าบ้านเสร็จเมื่อไรจะชวนอ๊อดมาพักผ่อนที่นี่ มาดื่ม มาเมามาย สักพัก  สักครู่  อ๊อดจากดินก้อนที่กล้าแกร่ง วันนี้กลายเป็นดินก้อนที่ร้าว  เราเลือกที่จะแยกอ๊อดไปอยู่อีกที่หนึ่ง  เพราะหากฝืนอยู่ต่อคนที่เสียหายมากที่สุดคือตัวอ๊อดเอง
          และแล้วงานก็เดินหน้าต่อไป งานดินที่เหลือไม่มากแล้ว แต่จะไปหนักทางงานไม้ โดยเฉพาะหลังคาซึ่งนั่นหมายถึงว่า ต่อไปนี้เราจะพูดคุยกับช่างในเรื่องแบบความต้องการของเรา  นั่นหมายถึงว่า คุยกันเป็นภาษาเงินตรา เพราะเค้าไม่ยอมสนุกกับเราด้วย  เมฆหมอกทะมึนดำกำลังก่อตัวขึ้นที่ท้องฟ้าด้านตะวันออก  เพราะหากถ้าพูดถึงเรื่องการเสียเงินเสียทองคนที่หน้ามุ่ยคนแรกไม่ใช่ใครแต่เป็นแม่ ( ยาย )  มันไมใช่ดินแค่รถสองรถ  แกลบไม่กี่กระสอบเสียแล้วสิ  พ่อก็ยิ้ม ๆ ขำ ๆ หัวเราะให้กับตัวเอง
          ผมกับมุกมองหน้ากันชวนกันเข้าห้องนอน ปล่อยให้น๊อตนั่งกินเหล้าอยู่เพียงลำพังกับกีตาร์เสียงแปล่ง ๆ มันแหกปากร้องเพลงอยู่คนเดียว
 ดู่ ดู๊ ดู  ดูเธอทำ  ทำไมถึงทำกับฉันได้ …”
ดู่ ดู๊ ดู  ดูเธอทำ  ทำไมถึงทำกับฉันได้ …”
มันเป็นบทเพลงของ จ๊อบ  บรรจบ  แล้วผมก็เผลอหลับไป

         
           
           

                       

6. ความฝัน + ความมุ่งมั่น = พลังอันยิ่งใหญ่

            ทุกคนในครอบครัวเวลาว่างจากงานประจำก็จะมาช่วยกันต่อเติมความฝัน ใครมีความฝันอะไร ก็เอามาแชร์กัน แน่หล่ะ ความฝันเป็นมโนธรรม มีคำพูดหนึ่งที่ผมจำได้เสมอนั่นคือ ความฝันจะยังคงล่องลอยอยู่ในจินตนาการ มันไม่หนีไปไกล ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะสร้างอะไรเป็นบันไดเพื่อที่จะปีนไปยึดเกี่ยวมันไว้ และเมื่อนั้นแหละมันจะกลายเป็นความจริง ผมก็เชื่อเช่นนั้น เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่มีความฝันหลายอย่าง คล้ายว่าเป็นคนล่าฝันอะไรทำนองนั้น หลายอย่างหลุดมือไป แต่ก็ไม่เป็นไรพยายามคว้ามันต่อไป ความฝันตัวไหนคว้าได้ง่าย ก็คว้าไว้ก่อนตามเวลาและโอกาสเหมาะสมที่อำนวยให้  ผมพบว่าหากเราฝันอะไรที่มันเล็ก ๆ แล้วมันจะสำเร็จง่าย  อะไรที่มันใหญ่มันจะสำเร็จยาก แต่ใช่ว่าเราจะทิ้งความฝันนั้น  เพียงแต่เราถอยกลับมาตั้งหลักกันใหม่ ระหว่างนั้นก็หัดสร้างความฝันเล็ก ๆ ขึ้นมาปลอบประโลมหัวใจ ให้มันพองโตอยู่ตลอดเวลา  แค่นี้ก็รู้สึกว่าชีวิตมันซาบซ่าดีแท้
                และอีกอย่างที่นักล่าฝันทั้งหลายขาดเสียไม่ได้เลยนั่นก็คือ ความมุ่งมั่น ไม่ลดละ แต่อย่าให้ถึงขั้นบ้าบิ่นก็แล้วกัน  ชีวิตทุกชีวิตมีจังหวะจะโคน บางครั้งลื่นไหลน่าอภิรมย์ บางครั้งติดขัดอึดอัดไปเสียหมด  ขอให้จำไว้ว่าในช่วงเวลาที่ลื่นไหล มักไม่ค่อยมีอุปสรรมาขัดขวาง ก็ขอให้เร่งฝีเท้าให้เต็มกำลัง  หากเจอบางช่วงบางตอนที่เจออุปสรรค ก็ให้ลดฝีเท้าลง ค่อย ๆ แก้ ค่อย ๆ ก้าวไป อย่าฝืนเร่งเพราะมันเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์ จงเบิกบานอยู่กับความเนิบช้านั้น จนกว่าจะหลุดพ้น 
                แล้วคุณจะพบว่ายังมีกำลังกายดีอยู่ และกำลังใจก็ยังเบิกบานดีอยู่  เหล่านี้เพราะคุณมีสติดีอยู่ ไม่ฟุ้งซ่าน และพร้อมจะก้าวต่อไปยังจุดหมาย นั่นคือพลังอันยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรที่จะฉุดไว้อยู่
                ทั้งความฝันและความมุ่นมั่นถูกอัดแน่นลงไปในทุกอณูของเนื้อดิน นำมาเรียงรายตามความฝัน จนกลายมาเป็นความจริง ความจริงที่แท้ก็คือความง่าย แสนจะธรรมดา และอยู่ใกล้เรานี่เอง
5. เสน่ห์บ้านดิน

            และแล้วภาพในจินตนาการครั้งอดีตเกี่ยวกับบ้านดิน ก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นทุกวัน วันหนึ่งพ่อเปรยออกมาว่า  เรามีบ้านหลายหลัง
          ทุกคนก็คิดเช่นนั้น เพราะแต่ละคนมีมโนภาพเกี่ยวกับบ้านที่ต่างกัน คือคิดกันเอาเอง วันนี้หน้าตาเป็นอย่างนี้ พรุ่งนี้น่าจะเป็นอย่างนี้ คิดเอาไว้ในใจ แต่พอรุ่งอีกวันหน้าตาของบ้านได้เฉลยออกมาเรื่อย ๆ บางคนนึกภาพออก บางคนนึกภาพไม่ออก จึงไม่แปลกเลยที่พ่อเปรยออกมาเช่นนั้น
                และวันต่อ ๆ ไป รูปร่างหน้าตาของบ้านดินจะออกมาเช่นไร เพราะตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ไม่เคยมีใครเห็นบ้านดินมาก่อน ยกเว้นอ๊อดคนเดียว  บ้านทรงกลม ผนังก็กลม ๆ แถมไม่มีเสา มีห้องนอนเล็ก ๆ มีห้องน้ำด้วย เริ่มเห็นเป็นสัดเป็นส่วน ทุกคนเร่งมือกันยกใหญ่เพราะอยากเห็นสิ่งที่วาดฝันกันเอาไว้ว่าหน้าตามันจะออกมาอย่างไรนะ
                สวยนะ
          แปลกนะ
          เย็นดีนะ
          แข็งแรงนะ
          ยิงไม่เข้าแน่เลย
          ใช่......
          คำกล่าวข้างต้น ย่อมสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนถึงความเชื่อมั่นในบ้านดิน ยิ่งทำยิ่งสวย  ยิ่งทำยิ่งมั่นใจ  ยิ่งทำยิ่งสนุก  และยิ่งทำยิ่งมีพลัง  นี่แหล่ะเสน่ห์ของบ้านดิน บ้านที่ให้มากว่าคำว่าบ้าน เป็นบ้านที่ใครก็สามารถลุกขึ้นมาปั้นดินให้เป็นบ้านได้อย่างแสนจะง่ายดาย ยิ่งใครที่มีความสามารถด้านช่างอยู่บ้างยิ่งได้เปรียบ
                พูดถึงเสน่ห์ของบ้านดินอีกนิด ตามลักษณะกายภาพตรงที่ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบ้านทั่วไปตรงที่ การวางอิฐเวลาก่อ ความหนาของผนัง รูปทรงแปลกตา และมันบ้าที่ใช้ดินมาก่อและเอาดินมาฉาบและเอาดินมาทำสี  มันมีเสน่ห์ตรงที่คาดไม่ถึงว่าสิ่งใกล้ตัวเราที่เราย่ำอยู่ทุกวันอย่างดิน เราหยิบมาผ่านกระบวนการที่ต่างกันเป็นสิ่งที่ต่างกัน เป็นก้อนอิฐ เป็นผนัง เป็นสี แล้วนำมาประกอบกันเข้าใหม่อีกครั้งเป็นรูปร่าง รูปทรง  เป็นอะไรก็ได้ที่ต้องการ ง่าย ๆ สามัญธรรมดามาก ๆ
                เสน่ห์นั่นก็คือ ความแปลกใหม่ ไม่เหมือนใคร  ผู้หญิงน่าพิศมัยตรงไหน หากล้วนแต่ทาปากสีแดงสีเดียวกันทุกคน  หรือคุณว่าไม่จริง
4. คอนเซปท์
               
                พูดถึงแนวความคิดเรื่องการสร้างบ้านดิน ต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าทุกอย่างล้วนง่ายดาย เข้าถึงง่าย ไม่มีสิ่งกีดขวาง ธรรมดาสามัญที่สุด  มันอาจจะเหมือนครั้งที่ตุ่นกับอ๊อดมาขายความคิดให้แมนและพ่อในวงเหล้าในค่ำคืนนั้นจริง ๆ คือ หนึ่งต้องสังเกตสิ่งของรอบตัวนำมาประยุกต์ใช้ให้มากที่สุด ลดการซื้อให้มากที่สุด ประหยัดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เวลาไม่ให้มาเป็นข้อจำกัด คือทำไปเรื่อย ๆ แรงงานก็เช่นกันลดการว่าจ้างให้น้อยที่สุดที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ แล้วใช้แรงงานของตนเองให้มากมาทดแทน
                บ้านดินหลังนี้สร้างขึ้นจากความเชื่อความศรัทธา เพื่อนฝูงที่จะมาทำนั้น ไม่เน้นเรื่องค่าตอบแทนเป็นเงินทอง แต่จะมีเหล้ายาปลาปิ้งซึ่งมากด้วยคุณค่าไม่อาจคิดเป็นมูลค่าได้  เพราะฉะนั้นใครอาสาคิด ใครอาสาทำ ใครอาสาเมา ก็มาร่วมกัน ณ ที่แห่งนี้  เราไม่มีพันธะสัญญาอะไรทั้งสิ้นใครจะมาก็มา ใครจะไปก็เชิญ แต่บ้านดินหลังนี้ต้องดำเนินต่อไปจนกว่าจะแล้วเสร็จ
                ในที่สุดอ๊อดก็มาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านดินหลังนี้เป็นคนแรก เป็นผู้นำทั้งความคิดและการปฏิบัติ  อ๊อดสลัดเวลาอันเปล่าประโยชน์ของห้วงหนึ่งในชีวิตมาคลุกอยู่กับบ้านดินอีกครั้งหนึ่ง มีแมนเป็นผู้ช่วยหลัก ส่วนพ่อเป็นผู้อำนวยการทุกสิ่งให้ โดยที่มีมุกเป็นเสมือนหัวน้ำมันเชื้อเพลิงคอยอัดฉีด เร่ง กระตุ้นกลไกต่าง ๆ ให้ขับเคลื่อนไปได้  ส่วนตัวผมเองมีหน้าที่เหมือนนายท้ายเรือ ถือหางเสือและบังคับให้เรือแล่นไปในทิศทางที่กำหนดร่วมกันตามระยะอันสมควร
                แล้วการวาดแบบแปลนบ้านก็เริ่มขึ้นจากการขีดเขียนลงบนพื้นดินอย่างหยาบ ๆ ง่าย ๆ และก็ไปกันต่อ เรื่อย ๆ ยิ่งนานวันบ้านเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขึ้น ความสนุก ความปิติยินดีก็มาเกาะกุมหัวใจของพวกเราทุกคน  เพราะช่วงเวลาของงานหนักที่สุดคือการย่ำดินและอัดบล็อกได้ผ่านพ้นไปแล้ว งานต่อไปคือการนำก้อนอิฐมาก่อเป็นตัวบ้าน...ใช่...เรากำลังปั้นดินตามท้องนาให้กลายมาเป็นบ้าน

3. บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในก้อนดิน
                หลายคนที่แวะเข้ามาทักทาย เข้ามาดูขั้นตอนการผลิตอิฐดิน  คำถามหนึ่งที่ทุกคนถามเหมือนกันนั่นก็คือ มีส่วนผสมอะไรบ้าง เราตอบกันอย่างง่าย ๆ นั่นคือ ดินผสมกับน้ำทำให้ดินเหลวและเข้ากันได้ดีและก็แกลบ ที่จะเป็นตัวประสานระหว่างเนื้อดิน แค่นั้นเองครับ ตำถามต่อไปนั่นก็คือ มันจะแข็งแรงไหมเมื่อเทียบกับอิฐที่ทำจากซิเมนต์  แน่นอนครับอิฐที่ทำจากซิเมนต์ย่อมแข็งแรงกว่าหลายเท่าตัว แต่เรากลับอธิบายต่อไปว่า อิฐที่นำมาก่อวางทับซ้อนกันเป็นผนังนั้นไม่จำเป็นต้องแข็งเหมือนก้อนหิน ขอเพียงแค่แบกรับน้ำหนักตัวมันเองและช่วยกันแชร์แบกรับน้ำหนักหลังคาได้แค่นั้นก็น่าจะพอแล้ว เพราะอิฐดินมีรูปลักษณะเหมือนกับก้อนอิฐบล็อกนั่นแหล่ะ แต่เวลานำมาก่ออิฐบล๊อกหรืออิฐทั่วไปมักจะนำมาวางตั้ง คงจะนึกภาพออก แต่อิฐดินต่างกันตรงการวางที่นำมาวางหน้ากว้าง เพราะฉะนั้นต้องใช้อิฐดินหลายก้อนมาวางซ้อนกันเป็นผนังหรือกำแพง แต่จะได้เปรียบตรงที่ผนังจะหนากว่าเกือบสองเท่าตัว เป็นสาเหตุหนึ่งที่อิฐดินกันความร้อนได้ดีกว่าอิฐทั่วไป
                ระหว่างพักกลางวัน ผมจะนั่งสูบบุหรี่ได้ร่มเงากระถินณรงค์ สายตามองดูก้อนอิฐวางเรียงรายเต็มพื้นที่ ก้อนที่แห้งสนิทก็จะยกมาซ้อนรวมกันไว้  ก้อนที่ยังไม่แห้งก็ยังคงปล่อยไปตามกระบวนการธรรมชาติ แดดจัดก็แห้งเร็ว มืดฟ้าครึ้มฝนก็แห้งช้า ก็ดีไปอีกอย่างทำให้เรามีเวลาวางแผนงานในขั้นตอนต่อไป ซึ่งก็คือการขนย้ายก้อนอิฐไปยังพื้นที่ที่เคลียร์ไว้ก่อนหน้านี้
เธอจงมองตึกสูงนั่นสิ...เธอเห็นอะไร
ความฟุ่มเฟือย..ฟุ้งเฟ้อ...เกินพอดี
เธอจงมองตึกสูงนั่นสิ...เธอเห็นอะไร
ความหยิ่ง...ทะเยอทะยาน...อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และ..เธอมองตึกสูงนั่นสิ....เธอจะเห็นรอยร้าว
เธอเพ่งมองลึกลงไปในรอยร้าวนั้นสิ....เธอเห็นอะไร
เด็กน้อยหน้าตามอมแมม...
บทเพลงของชายชรา...ขอทาน
แววตาของคนตกงาน
และบางที...เห็นตัวเธอเอง
                แต่ในก้อนดินที่ผมกำลังเพ่งมองอยู่นี้ ในนั้นมีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนตาทิพย์ เพียงท่านปั้นดินก้อนนั้นด้วยมือท่านเอง ท่านก็จะเห็นรอยยิ้มของลูกน้อย ฟันหรอ ซ่อนอยู่ในนั้น และท่านไม่จำเป็นต้องเป็นคนวิเศษโสตทิพย์ เพียงท่านปั้นดินก้อนนั้นด้วยมือท่านเอง ท่านก็จะได้ยินเสียงหัวเราะของลูก ๆ และเมียรัก ซ่อนอยู่ในนั้น  นอกจากนั้นยังมีหยาดเหงื่อของตัวเอง ของเพื่อน ของเมีย หรือแม้กระทั่งของลูก ๆ เป็นส่วนประสมปนอยู่ในนั้น มองทีไรก็เห็น เอาหูไปแนบฟังทีไรก็ได้ยิน สูดลมหายใจคราใดก็ได้กลิ่นดังว่า  ผมว่ามันเป็นสิ่งวิเศษ เมื่อเราศรัทธาและเชื่อมั่นอะไรสักอย่างเราก็จะทุ่มเท ถาโถมไปทั้งกายใจ สุดชีวิต....และเราก็รู้ว่าเราก็มีพลังนี้  พลังที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก...ซึ่งผมเชื่อว่ามีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว   คุณก็มีจริงไหม
2
ดินก้อนแรก

                โดยหลักการเบื้องต้นแล้วดินที่นำมาย่ำผสมกับแกลบ มันควรจะเป็นดินอะไรก็ได้ ยึดหลักนำวัสดุที่มีอยู่นำมาประยุกต์ แล้วดินก็เช่นกัน ขอเพียงแต่อย่าเป็นดินทรายนำมาปั้นแล้วไม่สามารถจับตัวกันเป็นก้อนได้ก็แล้วกัน นอกนั้นได้หมด  พ่อซึ่งติดต่อญาติขอดินในนาหลังเก็บเกี่ยว เพื่อจะนำมาทำอิฐดิน อ๊อดกับแมนไม่รีรอ คว้าจอบและเสียบลงไปขุดดินใส่กระบะนำมาเหยียบย่ำด้วยเท้าเปล่าจนแหลกเหลวเป็นเนื้อเดียวกันจึงเติมแกลบลงไปพอประมาณแล้วย่ำต่อไปจนเข้ากันได้ดี  ตักมาใส่บล็อกไม้ซึ่งอ๊อดเตรียมมาจากปาดังเบซาร์ อ๊อดบอกเทคนิค วิธีการต่าง ๆ ให้แก่แมนถึงกระบวนการทำอิฐดิน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย เวลาเลยเที่ยงทั้งสองทิ้งอิฐดินที่ยังเปียกอยู่ตากแดด อ๊อดบอกว่าถ้าแดดดีใช้เวลาประมาณ 12 15 วัน ก็น่าจะนำอิฐไปก่อได้
                เย็นวันศุกร์ผมเดินทางกลับจากกระบี่เห็นก้อนอิฐดินวางเรียงรายเป็นระเบียบ บางก้อนแห้งแล้ว แต่บางก้อนยังหมาด ๆ อยู่เลย ผมถามว่าบ้านดินโดยทั่วไปจะใช้อิฐกี่ก้อน  อ๊อดบอกว่าแล้วแต่เราจะออกแบบ ผมถามต่อว่าถ้าใช้คนงานสองคนทำงานเต็มเวลาวันหนึ่งจะได้อิฐประมาณกี่ก้อน แมนบอกว่าช่วงแรก ๆ อาจจะช้าหน่อยเพราะอัดดินลงบล็อกไม่ชำนาญ แต่ใช้เวลาอีก 2 3 วันหลังจากนั้นจะเริ่มรู้ทางแล้วทำได้เร็วขึ้น คิดว่าทำสองคนจะได้อิฐประมาณ 200 300 ก้อน แต่ถ้าไม่รีบก็ทำกันไปเรื่อย ๆ อ๊อดบอกว่าการทำบ้านดินดีอย่างคือประหยัดและดินที่เรานำมาย่ำนั้นหากอัดบล็อกไม่หมด สามารถทำต่อได้ในวันถัดไป เหมาะแก่ครอบครัวที่ไม่ค่อยมีเวลา หากวันไหนสมาชิกในครอบครัวว่างก็มาทำกันต่อ
                หลังจากเวลาผ่านไป 12 วัน ดินก้อนแรกก็แข็งตัว น้ำหนักประมาณ 5 7  กิโลกรัม สามารถนำไปก่อเป็นผนังได้เลย  คำถามหนึ่งที่ทุกคนมีร่วมกันนั่นก็คือ มันจะแข็งแรงหรือเปล่า การทดสอบดินก้อนแรกจึงเริ่มขึ้น ด้วยวิธีการยกอิฐดินขึ้นเสมออกแล้วปล่อยทิ้งลงบนพื้นดิน แน่นอนที่สุดอิฐดินบางก้อนหักที่มุม บางก้อนขาดสะบั้น แต่ไม่มีก้อนไหนแตกเป็นผุยผง  อ๊อดยืนยันว่าสามารถนำไปใช้ได้เพราะเมื่อดินแต่ละก้อนนำมาเรียงซ้อนทับกันเหมือนการวางศิลาตามวิหารต่าง ๆ แต่ละก้อนเชื่อมประสานกันด้วยดินเหลว เมื่อดินแห้งตัวก็จะกลายเป็นเนื้อเดียวกันกลายเป็นกำแพงดินประมาณนั้น 
                เพียงดินก้อนแรกที่ได้มามันเป็นที่มาของคำถามมากมาย ซึ่งทั้งหมดนั้น อ๊อดอธิบายได้หมดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ที่นี่โจทย์ใหญ่จึงอยู่ที่ว่าเราศรัทธาและเชื่อมั่นมากน้อยแค่ไหน ผมไม่รู้ว่าในใจแต่ละคนคิดอย่างไร แต่เราทุกคนยินดีที่จะทดลองและพิสูจน์ความเชื่อมั่นดังกล่าว  ผู้คนหลายคนในหมู่บ้านขับรถผ่านไปผ่านมายังทำหน้างง ๆ คิดไม่ออกว่าว่าเรากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่ก็ไม่มีใครหยุดรถแล้วลงมาถาม มีแต่หันมามองแล้วขับต่อไป  คงพูดกับตัวเองว่า มันทำบ้าอะไรของมัน
          เวลาผ่านไปหลายวันบริเวณบ้านเต็มไปด้วยอิฐวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บางก้อนยังคงรอแดดอีกต่อไป  และปัญหาก็ตามมาเมื่อดินที่ขอไว้มีทีท่าว่าจะไม่พอ ครั้นจะขุดต่อไป นาข้าวจะกลายเป็นบึงน้ำขนาดย่อม  จนเจ้าของที่นาเริ่มไม่สบายใจ  พ่อจึงสั่งซื้อดินมาจากที่อื่นเป็นดินที่ใช้ถมที่ ซึ่งใช้ได้หมด จากรถเดียวเพิ่มเป็นสองคันรถ และสาม สี่ ห้า หก เจ็ดรถ เราได้อิฐดินประมาณ 2800 ก้อน คิดว่าน่าจะพอนำมาสร้างบ้านที่แปลนกันไว้อย่างหยาบ ๆ รอบ ๆ บริเวณบ้านจึงเต็มไปด้วยอิฐดิน เป็นที่ดึงดูดสายตาของชาวบ้าน  และตอนนี้ชาวบ้านเริ่มรู้กันบ้างแล้วว่าเราจะสร้างบ้านดิน และไอ้คำว่าบ้านดินนี่แหล่ะพูดกันปากต่อปากจนเป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน  บางคนก็ว่า มันเล่นอะไรของมัน
          และช่วงเวลานี้เองบางคนหยุดรถลงมาพูดคุยทำความรู้จักกับบ้านดินที่เราจะทำกัน  บางคนเห็นด้วยในแนวทาง บางคนไม่เชื่อว่ามันจะเป็นที่อยู่อาศัยได้จริง  บางคนคิดว่าเราทำเพื่อเป็นของเล่น หลายคนหลายความคิด  เราไม่โต้แย้งปล่อยให้เป็นคำถามคาใจกลับไป เราก็ยังคงมุ่งมั่นต่อไปอย่างไม่ลดละ
1
วงเหล้า    บ้านดิน    ผู้ก่อการ

                หลายท่านคงได้ยินและรู้จัก บ้านดิน มาบ้างไม่มากก็น้อย  เหมือนเช่นกับผมที่รู้จักบ้านดินเพียงแค่รูปภาพและเนื้อหาในหนังสือเท่านั้น  จริง ๆ แล้ว ก็ไม่เคยเชื่อเรื่องดินนำมาสร้างเป็นบ้านเท่าไรนักหรอก และบ้านดินไม่เคยอยู่ในหัวสมองผมเลย  อันที่จริงผมมีโครงการจะสร้างบ้านหลายครั้งหลายหน ออกแบบบ้านแล้วให้พรรคพวกเพื่อนฝูงเขียนแบบให้  ผมเลยมีแบบแปลนเยอะ ขึ้นอยู่กับสถานที่เป็นหลัก  และแต่ละหลังหลักล้านทั้งนั้น  เพราะผมอยากมีกิจกรรมมากมายในบ้าน ก็เลยไม่สามารถตัดส่วนใดส่วนหนึ่งออกไปได้
            ด้วยความที่ไม่มีดวง หรืออะไรก็ไม่ทราบ พอเริ่มขยับเรื่องเขียนแบบ  ขออนุญาต  ก็มีอันต้องเป็นไปทุกที เนื่องจากต้องเปลี่ยนที่อยู่กะทันหัน  ลูกเต้าก็ย้ายโรงเรียนกันเป็นว่าเล่น ชนิดที่ว่าไม่ได้เรียนดีเหมือนลูกชาวบ้านชาวช่องเขา  แต่เราก็คิดว่ามันไม่ทำให้ชีวิตเสียหายอะไรมาก แล้วเราก็ม้วนแปลนบ้านหลังนั้นไว้ที่เก็บของหน้ารถ  แล้วออกเดินทาง ในรถนั้นมีลูกเมียกับข้าวของไม่กี่ชิ้น  ผมซึ้งในคำว่า ชีวิตคือการเดินทาง เรามีเป้าหมายในหนทางข้างหน้า เราแปลนมันไว้อย่างหยาบ ๆ เรากำลังจะไปหามัน...ความฝัน
            จนกระทั่งวันหนึ่ง ตุ่นแวะเวียนมาเยี่ยม มุก ที่บ้านตะโหมด ตุ่นแนะนำให้อ็อดรู้จักกับมุกภรรยาของผมเอง  บังเอิญวันนั้นผมอยู่ต่างจังหวัด แมนซึ่งเป็นน้องชายมุกทำหน้าที่เลี้ยงเหล้าเย็น ซึ่งเป็นของโปรดตุ่นกับอ็อด  ค่ำวันนั้นมุกบอกผมว่าพอเหล้าเข้าปากตุ่นกับอ็อดก็บรรยายสรรพคุณตัวเองให้แมนและพ่อ ( ตา ) เกี่ยวกับเรื่องบ้านดิน  ประมาณว่าทั้งคู่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการสร้างบ้านดิน ทำนองว่าง่าย เป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว พ่อพอได้ยินว่าง่ายและมีคนอาสาทำให้ก็ชอบ ซึ่งเป็นนิสัยส่วนตัวของพ่ออยู่แล้ว
            อุปกรณ์อะไรบ้าง เยอะไหม   พ่อเริ่ม
            ก็ดินรถสองรถ กับแกลบอีกนิดหน่อย ตุ่นชิงตอบ
            ถ้าพ่ออยากได้ ผมมาทำให้ แต่ต้องให้แมนช่วยด้วย อ็อดเสนอตัว
            ไม่มีปัญหา ดินแค่นั้น ส่วนแกลบบ้านเรามีเยอะ พ่อพูดแสดงท่าทีสนใจ
            พี่ว่างวันไหน มาเลย เริ่มกันเลย แมนคล้อยตาม
นั่นเป็นบางบทสนทนาที่คุยกันในค่ำวันนั้น ยิ่งกินก็ยิ่งเมา ยิ่งดึกยิ่งสว่าง พ่อและแมนต่างเข้านอน อ็อดฟุบคาโต๊ะเหล้า ส่วนตุ่นอุตส่าห์พาตัวเองเข้าครัว  มาพบอีกทีตอนเช้านอนพับอยู่ใต้โต๊ะกินข้าว   ไม่อาจรู้ได้เลยจริง ๆ ว่าเมื่อคืนใครหลับฝันถึงสิ่งใด
            และนี่คือที่มาทีไปของบ้านดิน ผมว่ามันเป็นบ้านที่ง่าย หากฟังเรื่องราวที่มุกมาเล่าให้ฟังจากวงเหล้าในค่ำคืนนั้น  ส่วนตัวเองแล้วรู้สึกเฉย ๆ อาจเป็นเพราะว่าไม่มีอารมณ์ร่วมในวงเหล้าคืนนั้นกระมัง  และเรื่องราวของบ้านดินไม่ได้หยุดลงเพียงแค่นี้  ก็อย่างที่บอก อะไรที่ง่ายและมีคนอาสาทำให้ พ่อ ( ตา ) ผมชอบ และคำว่า บ้านดิน กลายมาเป็นประเด็นร่วมของคนในครอบครัว มีการถกเถียง แลกเปลี่ยน และลงมติ กันว่า ทำ หลังจากสองคนนั้นกลับปาดังเบซาร์ไปแล้ว
            ด้วยความที่เป็นครอบครัวใหญ่ ทำอะไรยึดหลักประชาธิปไตย อย่างที่ว่า ถกเถียง แลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็น และลงมติ  มีการแบ่งงานกันทำ มุก เป็นผู้ประสานงาน พ่อกับแมนเตรียมวัสดุอุปกรณ์  อ็อดเป็นนายช่างหลัก  ตุ่นเป็นผู้ช่วยช่าง หากวันไหนเปรี้ยวปากก็มาได้  ในเบื้องต้นทุกอย่างวางแผนกันไว้แบบนี้

หลายวันต่อมา

            เมื่อทุกคนส่งสัญญาณบอกความพร้อม  มุกนับ...นึง...ส่อง...ซ่าม...........เริ่มได้

บันทึกรัก...บ้านดิน

จากใจผู้บันทึก
                ความตั้งใจของผมที่เขียนบันทึกนี้ก็เพื่อให้ภรรยา ( มุก ) อ่านหลังจากที่เราสร้างบ้านดินเสร็จแล้ว  และที่หวังเป็นอย่างยิ่งก็คืออยากให้ใบบัวลูกสาวอายุ 7 ขวบ และโมกข์ลูกชายอายุ 3 ขวบ อ่าน เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นพอที่จะอ่านหนังเองได้  ว่าครั้งหนึ่งเราได้ร่วมกันสร้างรังรักน้อย ๆ ด้วยมือของพวกเราเอง ทุกคนในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อนฝูง ล้วนมีส่วนร่วม เป็นบันทึกรายทางเมื่อว่างเว้นจากงานประจำ ผมเรียกสั้น ๆ ง่าย ๆว่า  บันทึกรัก...บ้านดิน
15 ก.ค. 53
บ้านห้วยเสียด อ.เขาพนม จ.กระบี่

" ต่อมามีคนถามเรื่องราวเกี่ยวกับบ้านดินเยอะขึ้น ผมมีความคิดว่า บันทึกนี้พอจะให้คำตอบแก่เขาเหล่านั้นได้บ้าง จึงนำมาเผยแพร่ ให้ได้อ่านกัน ณ ที่นี้ "

อนุกูล  บัวแก้ว
21 ก.ค 54 หาดใหญ่


               

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เกี่ยวกับศิลปวิมานบ้านดิน โฮมสเตย์

ศิลปวิมานบ้านดิน โฮมสเตย์
ที่ตั้ง  283 ม. 9 ต.ตะโหมด  อ.ตะโหมด  จ.พัทลุง
http://silapawimanbaandin.blogspot.com/

รูปแบบการให้บริการ 3 ลักษณะ
1. ที่พัก
2. แพกเกจ
3. อบรม / ศูนย์การเรียนรู้

กิจกรรม
1. ท่องเที่ยว ของดี ในตะโหมดและพัทลุง
2. เดินป่า
3. เต็นท์และแคมป์ไฟ
4. อบรม ศูนย์เรียนรู้ การใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ